วันเสาร์ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2554

นาฬิกาชีวิต (BIOLOGICAL CLOCK)

รูปของบทความ นาฬิกาชีวิต

การเคลื่อนไหวของพลังชีวิตของอวัยวะภายใน มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนและสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับเวลา
(นาฬิกาชีวิต) ร่างกายเราจึงมีกลไกการปรับตัวมีการสร้างสารคัดหลั่งฮอร์โมน การทำงานของระบบต่างๆ
เป็นไปตามสภาพธรรมชาติที่เปลี่ยนแปลงไป การดำเนินชีวิต และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน

ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพที่ดี และมีอายุยืน ปราศจากโรค
โดยแบ่งเป็นช่วงเวลา ดังนี้
01.00-03.00 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อนถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำใน
ช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน (meratonine) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจาก
ร่างกายจะหลั่งมีราทินประจำแล้ว ยังหลั่งสารเอนโดรฟิน (endorphin) ออกมาด้วยจึงไม่ควรกินอาหาร
เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับ คือ ขจัดสารพิษในร่างกาย

ส่วนหน้าที่รอง คือ
1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผม ขน เล็บจะไม่สวย
2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก
จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุให้สารพิษตกค้างในตับ
[ ซวยแล้ว ช่วงกินเบียร์ด้วยสิ ]

03.00-05.00 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอนลุก ขึ้นเพื่อสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับ
แสงแดดในยามเช้าผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็น ประจำปอดจะดี ผิวจะดีขึ้น และจะเป็น คนที่มีอำนาจในตัว
[ (--') มันเกี่ยวกับการมีอำนาจด้วยหรอ... ]

05.00-07.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่
ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูกถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มนํ้าอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่ม
น้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่ายหรือ
บริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่า
หน้าท้องไปติดสันหลัง
[ เจ๋งอ่ะ กดจุด แล้วถ่ายได้ มันต้องลอง... ]

07.00-09.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้า
ในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคน
ตัดสินใจช้า ขี้งวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าแก่เร็วกว่าวัย
[ มิน่าล่ะ ทำไมเราหน้าเด็ก เพราะกินข้าวเช้านี่เอง โฮะๆ ]

09.00-11.00 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด
สร้างน้ำหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศีรษะบ่อยมักจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครง
สาเหตุมาจากม้ามกับตับ
- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย
- ม้ามชื้น อาหารและนํ้าที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมนั จึงทำให้อ้วนง่าย
ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 09.00-11.00 น. ม้ามจะอ่อนแอ นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก
ผู้ที่พูดบ่อยๆหรือพูดเก่ง ๆ ม้ามจะชื้น จึง ควรพูดน้อยกินน้อยจึงแข็งแรง
จะบอกว่าไม่ควรตื่นสายใช่ไหม.]

11.00-13.00 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยง
ความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้
 อืม... งั้นประชุมไม่ได้นะ คุณหัวหน้า นอนพักดีกว่า อิอิ

13.00-15.00 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิด
โอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ ดูดซึมสารอาหารที่เป็นนํ้าทุกชนิด เช่น วิตามิน ซี บี โปรตีน
เพื่อสร้างกรดอะมิโนสร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโน
น้อย ไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย 11 ฟุต เพื่อให้การดูดซึมได้นานกว่า
เนื่องจากต้องใช้กรดอะมิโนมากกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ1 ซี่
 อ้าวหรอ ผู้หญิงมีกระดูกซี่โครงมากกว่าหรือเนี่ย

15.00-17.00 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ แนวพลังของกระเพาะปัสสาวะเริ่มจาก
หัวตา -> ผ่านหน้าผาก -> ศีรษะ -> ท้ายทอย -> แผ่นหลังทั้งแผ่น -> สะโพก -> ด้านหลังขา ->
หัวเข่า -> น่อง -> ส้นเท้า -> นิ้วก้อย กระเพาะปัสสาวะจะเกี่ยวข้องกับระบบความจำไทรอยด์และ
ระบบเพศทั้งหมด ช่วงเวลานี้ควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัว กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง

ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย
แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำน้ำส้มหรือน้ำมะนาวเพื่อเติมโปตัสเซียม (ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อย
ต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย)
การอั้นปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะจะูถูก ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็น
เหมือนปัสสาวะ
 เพื่อนเราตัวเหม็นหลังออกกำลังกาย แสดงว่าอั้นปัสสาวะหรอ

17.00-19.00 น. เป็นช่วงเวลาของไต จึงควรทำใจให้สดชื่น ไม่ควรง่วงเหงาหาวนอนในช่วงเวลานี้
ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงเวลานี้ แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม ถ้านอนหลับแล้วเพ้อ แสดงว่าอาการ
หนักมาก
- ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม
ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และ
เป็นคนขี้ร้อน
- ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญญา ความจำจะเสื่อม
และเป็นคนขี้หนาว(ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)

ถ้าลำไส้เล็ก มีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็น
ภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก จึงกลายเป็นโรคไต ผู้ที่เป็นโรคไต สมองจะเสื่อมปวดหลัง
เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ
การดูแล คือ ตอนเช้าอาบน้ำเย็น ตอนเย็นให้อาบน้ำอุ่น กรณีที่อาบน้ำไม่ได้ ให้ใช้วิธีแช่เท้า
แต่นํ้าควรใส่สมุนไพรที่ถูกโฉลกของผู้ป่วย เช่น ขิง ข่า กระชาย อย่างใดอย่างหนึ่ง
ตอนเช้ามันหนาวนะให้อาบน้ำเย็นอีกหรอ

19.00-21.00 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ
ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือ หัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นโลหิตหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่อง
ตื่นเต้น ดีใจ การหัวเราะ กรณีเส้นเลือดขอด ต้องดูแลเยื่อหุ้มหัวใจให้แข็งแรง ควรใส่เสื้อผ้า ชุดสีดำ เทา
เอาเท้าแช่ในน้ำอุ่น
 หมายถึงห้ามขำหรอเนี่ย

21.00-23.00 น. เป็นช่วงเวลาที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงห้ามอาบน้ำเย็นในช่วงเวลานี้
เพราะจะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย อย่าไปตากลม เพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ
ตาก-ลม นะ ไม่ใช่ ตา-กลม

23.00-01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี (ถุงน้ำดีเป็นถุงสำรองเก็บน้ำย่อยยที่ออกมาจากตับ)
อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว
สายตาเสื่อม เหงือกจะบวม ปวดฟัน นอนไม่หลับ ตื่นกลางดึก หรือตอนเช้าจะจาม (ถุงน้ำดีจะโยงถึงปอด)
จะปวดศีรษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ( ผู้ที่ตัดถุงน้ำดีออก เมื่อตรวจด้วยลูกดิ่ง
จะพบว่า ถุงน้ำดีข้น มักมีอาการปวดขา ปวดสะโพก)

ทางแก้ คือ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไนล่อน ชุดนอนที่ทำจากใยสังเคราะห์จะไป
ดูดน้ำในร่างกาย ควรสวมชุดผ้าฝ้ายจะดีที่สุด ไม่ควรนอนบนที่นอนสูง ๆ เพราะจะทำให้เสียนํ้าใน
ร่างกาย ดังนั้น ควรดื่มน้ำก่อนเข้านอน หรือก่อนเวลา 23.00 น.
ถ้าไม่ใส่อะไรนอน คงไม่ผิดกติกามั้ง อิอิ

ปล. ใครจะเอาไปใช้ ก็คงจะทำให้สุขภาพดีขึ้นแน่ ๆ แต่คงทำได้ไม่หมดทุกข้อแน่เลย

ที่มา  :
http://teemgroup.blogspot.com/search?updated-min=2009-01-01T00%3A00%3A00%2B07%3A00&updated-max=2010-01-01T00%3A00%3A00%2B07%3A00&max-results=45

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น